งาน 11th Thai-Belgian Business Forum เสริมสร้างความเชื่อมั่นและผลักดันโอกาสการลงทุนระหว่างไทย–เบลเยียม

งาน 11th Thai-Belgian Business Forum เสริมสร้างความเชื่อมั่นและผลักดันโอกาสการลงทุนระหว่างไทย–เบลเยียม

วันที่นำเข้าข้อมูล 25 ก.ย. 2568

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 25 ก.ย. 2568

| 67 view
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 สำนักงานเศรษฐกิจการลงทุนในต่างประเทศ (BOI) นครแฟรงเฟิร์ต ซึ่งมีหน้าที่ดูแลงานส่งเสริมการลงทุนในเบลเยียม ได้จัดงาน 11th Thai-Belgian Business Forum ณ สถาบัน European Institute for Asian Studies (EIAS) กรุงบรัสเซลส์ โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 80 คน ประกอบด้วยนักธุรกิจจากหลายสาขา เจ้าหน้าที่ภาครัฐเบลเยียม และสหภาพยุโรป ตลอดจนสื่อมวลชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่กำลังลงทุนหรือมีความสนใจลงทุนในประเทศไทย
 
นางกาญจนา ภัทรโชค เอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ได้กล่าวเปิดงาน โดยเน้นถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและเบลเยียม โอกาสของนักลงทุนเบลเยียมในสาขาที่เบลเยียมมีความเข้มแข็งและไทยมีความต้องการ เช่น อาหารและการเกษตร การรีไซเคิล ยาและเภสัชภัณฑ์ ตลอดจนจุดแข็งของไทย อาทิ ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไฟฟ้า อินเตอร์เน็ตที่รวดเร็ว ตลอดจนความเป็นอยู่ในไทย บริการสุขภาพ และโรงเรียนนานาชาติสำหรับบุตรหลาน และที่สำคัญคือความคืบหน้าการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย–สหภาพยุโรป (FTA) ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ซึ่งอาเซียนเป็นภูมิภาคที่มีการเจริญเติบโดทางเศรษฐกิจที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ
 
นางสาวฐนิตา ศิริทรัพย์ ที่ปรึกษาด้านการลงทุน (BOI) ได้นำเสนอจุดแข็งของไทยในด้านต่าง ๆ โดยไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นลำดับที่ 2 ของอาเซียน มีความตกลงการค้าเสรีแล้ว 17 ฉบับกับ 24 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ มีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไฟฟ้า อินเตอร์เน็ต และแรงงานทักษะที่มีคุณภาพสามารถรองรับการลงทุนได้ มีการตรวจลงตราในระยะยาวถึง 4 ประเภท มีเขตอุตสาหกรรมถึง 78 แห่งใน 17 จังหวัด โดย BOI ได้รับคำร้องการสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องสะท้อนความมั่นใจในการลงทุนในไทยจากทั่วโลก โอกาสนี้ นางสาวฐนิตาฯ ได้นำเสนอมาตรการส่งเสริมการลงทุนในด้านต่าง ๆ ของไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ได้แก่ แบตเตอรี่และการเก็บพลังงาน เซมิคอนดักเตอร์ การแพทย์และการสาธารณสุข การบินและอวกาศ ระบบอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์ วัสดุขั้นสูง และการบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (high value-added services) โดยผู้ลงทุนจะได้รับการยกเว้นภาษีตามประเภทของธุรกิจสูงสุดถึง 13 ปี ซึ่ง BOI พร้อมสนับสนุนและให้ข้อมูลประกอบการลงทุนต่อไป
 
นาย Wouter Beke สมาชิกรัฐสภายุโรป ประธานคณะผู้แทนรัฐสภายุโรปด้านความสัมพันธ์กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอาเซียน (DASE) กล่าวย้ำว่า สำหรับสหภาพยุโรป ไทยไม่ใช่เพียงตัวเลือก แต่เป็นจุดหมายเชิงยุทธศาสตร์ และในทางกลับกัน สำหรับไทย สหภาพยุโรปคือหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้และมุ่งสู่อนาคตร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมมือเพื่อสร้างความหลากหลาย ความสร้างสรรค์ และความยืดหยุ่นได้ ในห้วงความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลก ทั้งความขัดแย้งทางการค้า โควิด-19 สงครามในภูมิภาคต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่สะท้อนความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มความจำเป็นให้สหภาพยุโรปต้องแสวงหาพันธมิตรที่หลากหลายขึ้น โดยอาเซียนและไทยเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของสหภาพยุโรป นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงจุดแข็งของไทยและสหภาพยุโรปที่สามารถส่งเสริมกันได้ในด้านต่าง ๆ อาทิ (1) ยานยนต์ EV โดยไทยเป็นศูนย์กลางยานยนต์อาเซียน ขณะที่สหภาพยุโรปมีนโยบาย Green Deal ที่มุ่งสู่การเป็นสังคมที่ยั่งยืนและปลอดมลพิษ (2) อิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ โดยไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของโลกและเป็นพันธมิตรที่สหภาพยุโรปไว้วางใจได้ (3) เศรษฐกิจดิจิทัล โดยไทยเป็นศูนย์ e-commerce / Fintech และเมืองอัจฉริยะ ขณะที่สหภาพยุโรปมีความเชี่ยวชาญในด้านกฎเกณฑ์และความปลอดภัยไซเบอร์ (4) พลังงานและสิ่งแวดล้อม โดยไทยมีนโยบาย Bio-Circular-Green Economy ขณะที่สหภาพยุโรปมีนโยบาย Green Deal ที่สอดคล้องและสามารถร่วมมือกันผลักดันโอกาสร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียนและ Circular Economy ได้ และ (5) ด้านการท่องเที่ยว การแพทย์และการบริการ โดยไทยมีจุดแข็งในด้านการท่องเที่ยวและการแพทย์ ขณะที่อียูมีความโดดเด่นในด้านเทคโนโลยี ยาและเภสัชภัณฑ์
 
นางสาวสิริบุษย์ อึ๊งภากรณ์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ได้บรรยายในหัวข้อ “Progress and Impact of Thailand-EU FTA” รายงานความคืบหน้าการเจรจา FTA ไทย–สหภาพยุโรป ซึ่งกำลังจะมีการเจรจารอบที่ 7 ที่กรุงบรัสเซลส์ ซึ่งหากจากเจรจาสำเร็จ คาดว่า FTA ไทย-สหภาพยุโรปจะช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันได้ถึงร้อยละ 3 เพิ่มมูลค่าการลงทุนได้ถึงร้อยละ 2.74 ต่อปี เพิ่มโอกาสการเข้าถึงทางการตลาด และการขยายห่วงโซ่อุปทานในวัตถุดิบที่สำคัญ รวมทั้งช่วยปรับปรุงมาตรฐานอุตสาหกรรมและสิ่งแวดล้อมของไทยให้ดียิ่งขึ้น โดยไทยสามารถเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรกรรมที่สำคัญของสหภาพยุโรปได้ ทั้งนี้ สหภาพยุโรปเป็นคู่ค้าลำดับที่ 4 และเป็นผู้ลงทุนที่สำคัญเป็นลำดับที่ 2 ของไทย ขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 28 ของสหภาพยุโรป
 
นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลจากภาคเอกชนที่ลงทุนและขับเคลื่อนการลงทุนในไทย ได้แก่ Senet Group ผู้ให้บริการคำปรึกษาและกฎหมาย อดีตผู้แทนการค้าและการลงทุนของฟลานเดอร์สในประเทศไทย และ Mediagenix บริษัทซอฟต์แวร์การจัดการเนื้อหาและสิทธิ์สำหรับอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิง ที่ได้เลือกประเทศไทยเป็นฐานการดำเนินงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
 
ผู้แทนจากการบินไทยยังได้ใช้โอกาสนี้ประชาสัมพันธ์เส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ–บรัสเซลส์ ซึ่งให้บริการทุกวันตั้งแต่เดือนธันวาคม 2567 โดยเป็นอีกปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ
 
การจัดงานครั้งนี้แสดงถึงความพร้อมของ ทีมประเทศไทย ในการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่การลงทุนของเบลเยียมในไทย รวมถึงการส่งเสริมการค้าและการลงทุนของไทยในเบลเยียม เพื่อยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ